จดหมายข่าว — พฤศจิกายน 2568
- web91481
- 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา
- ยาว 2 นาที
ตลอดหกสัปดาห์ที่ผ่านมา วัดของเราได้มีกิจกรรมค่อนข้างบ่อย พระภิกษุได้เดินทางกลับจากการจาริกไปยังแถบตะวันตกของนอร์เวย์ และทางวัดก็ได้จัดงานพิเศษขึ้นสองงาน อันได้แก่ พิธีทอดผ้าป่าในเทศกาลกฐิน (ผ้าป่า) และ งานครบรอบ 10 ปีของวัด
การเดินทางสู่ทิศตะวันตก
ในเย็นวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน หลวงพ่อคำพอง พร้อมด้วยพระภิกษุสองรูปจากวัดอุบลมณี เดินทางมาถึงวัดชิปท์เว็ท หลังจากเดินทางมาจากเมืองกริมูเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกท่านได้พักค้างคืนกับพวกเรา และเช้าวันรุ่งขึ้น พระภิกษุจากวัดชิปท์เว็ทก็ร่วมเดินทางต่อกับคณะของหลวงพ่อในรถตู้เก้าที่นั่ง ซึ่งน่าจะบรรทุกใกล้ถึงขีดจำกัดของน้ำหนักเลยทีเดียว
ในวันแรกของการเดินทาง คณะได้เดินทางไกลไปถึงเมืองทรอนด์ไฮม์ และพักค้างคืนที่ วัดโพธิธรรม ทรอนด์ไฮม์ ในวันถัดมา คณะของเราได้ไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญในเมือง ทั้ง มหาวิหาร และ พิพิธภัณฑ์เครื่องราชกกุธภัณฑ์ของนอร์เวย์ (Royal Regalia Museum) ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง เมืองโอเลซุนด์ และพักค้างคืนที่ วัดโพธิธรรม โอเลซุนด์ เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราได้เดินขึ้นเนินเขาเล็กน้อยเพื่อชมทิวทัศน์ของเมือง ก่อนจะออกเดินทางต่อหลังฉันภัตตาหาร ไปยังวัดอุบลมณี หลังจากต้องข้ามเรือหลายครั้ง พวกท่านก็มาถึงวัดในช่วงค่ำของวันนั้น
ในวันถัดมาภายใต้ท้องฟ้าสีครามแจ่มใส พระภิกษุได้ออกเดินป่าตามเส้นทางที่มีชื่อเสียงว่า “Dronningstien” โดยมีผู้สนับสนุนวัดอุบลมณีที่อยู่กับวัดมานานเป็นผู้นำทาง เส้นทางนี้เป็นโอกาสอันดีในการออกกำลังกายและชมทิวทัศน์ภูเขาอันสวยงามตระการตา
วันต่อมาคณะของเราก็เริ่มการเดินทางกลับ โดยแวะที่เมืองโอเลซุนด์อีกครั้งเพื่อร่วมงาน วันเทศกาลไทย (Thai Festival Day) ภายในหอประชุมขนาดใหญ่ที่จัดเช่าสำหรับงานนี้ พระภิกษุจากวัดชิปท์เว็ทได้พบกับพระจาก วัดโพธิธรรม โอเลซุนด์ อีกครั้ง และได้ออกบิณฑบาตภายในหอประชุม ซึ่งมีร้านอาหารไทยหลายร้านตั้งเรียงรายอยู่
หลังฉันภัตตาหารมื้อสุดท้ายที่โอเลซุนด์ พวกเราก็ออกเดินทางกลับสู่วัดชิปท์เว็ท ระหว่างทางได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามของ ฟยอร์ดนอร์เวย์ และมาถึงวัดในช่วงค่ำของวันนั้น
ออกพรรษา
คณะสงฆ์ได้ จบการเข้าพรรษาอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 7 ตุลาคม ด้วย พิธีปวารณา (Pavāraṇā) ตามประเพณี ในช่วงเย็น พระภิกษุได้แบ่งปัน ธรรมทายาทสั้น ๆ เกี่ยวกับช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกัน (สามารถฟังบันทึกเสียงคำเทศน์ได้: พระอาจารย์คงฤทธิ์, พระอาจารย์คัมภีโร).

พิธีถวายผ้าป่าในเทศกาลกฐิน
ในสุดสัปดาห์ถัดมา วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม กลุ่มฆราวาสจำนวนมากได้มารวมตัวกันเพื่อเข้าร่วมพิธีถวายผ้าป่าในเทศกาลกฐินของเราในวันนั้นพระอาจารย์คัมภีโร ได้เทศน์ธรรมเป็นภาษาอังกฤษ ต่อด้วยพระอาจารย์คงฤทธิ์ ที่เทศน์เป็นภาษาไทย (สามารถดาวน์โหลดบันทึกเสียงได้).
มีการตัดเย็บจีวรพระภิกษุสองผืนด้วยมือและถวายในโอกาสนี้ หนึ่งผืนสำหรับ ท่านอาทิจโจ และอีกผืนสำหรับ พระอาจารย์กาญจโน (ประจำวัดธรรมปาลา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งพระอาจารย์คงฤทธิ์จะเดินทางไปเข้าร่วมงานเทศกาลกฐินของวัดนั้น) เป็นภาพที่สวยงามที่ได้เห็นกัลยาณมิตรของวัดหลายคนเข้าร่วมงานในครั้งนี้ และร่วมถวายสิ่งของซึ่งเป็นของถวายที่สำคัญต่อชีวิตประจำวันของพระภิกษุ
งานครบรอบ 10 ปี วัดโลกุตตรวิหาร
สองสัปดาห์ต่อมาวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม วัดชิปท์เว็ทได้จัดการรวมตัวครั้งใหญ่อีกครั้ง คราวนี้เพื่อเฉลิมฉลอง ครบรอบ 10 ปีของวัดโลกุตตรวิหาร (Lokuttara Vihara) สำหรับโอกาสพิเศษนี้พระอาจารย์คเวสโก หนึ่งในสมาชิกสงฆ์กลุ่มแรกที่อาศัยอยู่ที่นี่ในปี พ.ศ. 2558 ได้เดินทางมาจากอิตาลีล่วงหน้าหลายวัน นับเป็นโอกาสดีสำหรับผู้สนับสนุนวัดมานานได้กลับมาพบกับพระอาจารย์คเวสโก และสำหรับท่านเองได้ใช้เวลาอยู่ในกุฏิ ที่ท่านมีส่วนออกแบบหลายปีก่อน ตอนนั้นพระภิกษุอาศัยอยู่ในบ้านคอนเทนเนอร์แบบ Portakabin ปัจจุบันเหลือเพียงหลังเดียว และใช้เป็นที่พักสำหรับแขก
เพื่อเป็นการระลึกถึงวาระสำคัญนี้ คุณญาดา ได้เป็นผู้ริเริ่มการจัดนิทรรศการพระพุทธรูป หลายองค์ที่วัดชิปท์เว็ทเป็นเจ้าของ พร้อมทั้งแสดงแผ่นพับสามภาษา อธิบายเพื่ออธิบาย มุทรา หรือท่าทางมือและท่าปางต่าง ๆ เนื่องจากมีพระพุทธรูปหลากหลายกว่าที่คนทั่วไปจะคุ้นเคย
เราดีใจที่เห็นว่าผู้ก่อตั้งโครงการส่วนใหญ่สามารถเข้าร่วมงานได้ โดยเฉพาะคุณ Per-Otto Wold, คุณ Thomas Larsen และ คุณShantana Berg (หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติของวัดและการมาตั้งอยู่ที่ชิปท์เว็ท สามารถดูจากเอกสารนี้ ซึ่ง คุณThomas ได้จัดทำไว้). นอกจากนี้เรายังขอขอบคุณ คุณพีรภัทร บุษปะเวศที่ปรึกษาและหัวหน้าฝ่ายกิจการกงสุล ที่เข้าร่วมงานในนามของเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศนอร์เวย์ บันทึกเสียงการบรรยายในวันนั้น จากผู้บรรยายหลายท่านและพระอาจารย์ที่ร่วมงาน สามารถดาวน์โหลดได้จากที่นี่
ปฏิทินปี 2569
ด้วยทักษะการจัดทำหนังสือของพระอาจารย์คัมภีโรและประสบการณ์ยาวนานในการจัดทำหนังสือและปฏิทิน เราได้จัดทำปฏิทินอย่างเป็นทางการของวัดชิปท์เว็ทสำหรับปี 2569 โดยใช้ภาพถ่ายจากทศวรรษที่ผ่านมา ปฏิทินนี้แสดงให้เห็นผู้คนและชุมชนหลายกลุ่มที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ และเป็นของตกแต่งบ้านที่สวยงามและมีประโยชน์ เราได้พิมพ์ไว้จำนวนหลายร้อยเล่ม ดังนั้นหากคุณแวะมาที่วัดชิปท์เว็ท วันใดก็สามารถหยิบติดมือกลับบ้านได้ตามต้องการ สำหรับตัวคุณเอง ครอบครัวหรือเพื่อน ๆ
หากคุณไม่สะดวกมาที่วัดหรือต้องการเวอร์ชั่นดิจิทัล คุณสามารถดาวน์โหลดไฟล์ PDF ความละเอียดสูง (177 MB) ได้ที่นี่ หากลิงก์ไม่ทำงาน เรามีลิงก์สำรองให้ นอกจากนี้ เรายังจัดทำเวอร์ชันความละเอียดต่ำ (15 MB) ให้ดาวน์โหลดได้ที่นี่หรือที่นี่
การเยี่ยมวัดของนักเรียน
โรงเรียนมัธยม Askim
วันที่ 10 ตุลาคม พระอาจารย์คงฤทธิ์และพระอาจารย์คัมภีโร เดินทางไปยัง โรงเรียนมัธยม Askim เพื่อพบกับนักเรียน 5 ห้องเรียน พวกเราได้พูดคุยเกี่ยวกับวัด ชีวิตสมณะแบบพระ และคำสอนของพระพุทธเจ้า
โรงเรียน Kirkelund
วันที่ 13 ตุลาคม นักเรียนชั้น ม.3 จำนวน 45 คน จาก โรงเรียน Kirkelund ในชิปท์เว็ท ได้มาเยี่ยมชมวัดเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสงฆ์
โรงเรียนมัธยม Akademiet Fredrikstad
วันที่ 4 พฤศจิกายน นักเรียน 45 คนจาก โรงเรียนมัธยม Akademiet Fredrikstad ได้มาเยี่ยมชมวัด เราได้นำชม พระพุทธรูปหินทรายสีขาว, เจดีย์ จากนั้นรวมตัวกันที่ ศาลาสำหรับทำสมาธิ เพื่ออธิบายหลักธรรมพุทธศาสนาขั้นพื้นฐาน และเล่าถึงกิจวัตรประจำวันของเรา
ยังมีนักเรียนกลุ่มเล็กและนักเรียนเดี่ยวหลายคน ที่มาสัมภาษณ์พวกเราเพื่อทำโครงงานในโรงเรียน
แขกพิเศษมาเยือน
วันที่ 6 พฤศจิกายน หลวงพ่อลัย ซึ่งได้บวชเป็นสามเณรใต้การอุปสมบทของหลวงพ่อชา (ปัจจุบันบวชแล้ว 46 พรรษา) จากวัดป่าขันติธรรม จ.ลำพูน ประเทศไทย เดินทางมาเยี่ยมพร้อมพระอาจารย์โรจโน จากเนปาล (บวชมาแล้ว 27 พรรษา) และมีพระจากวัดอุบลมณีอีกสองรูปติดตามทั้งหมดพักค้างคืนที่วัดวันรุ่งขึ้นพระภิกษุทั้งหมดได้ออกบิณฑบาตประจำวันศุกร์ ในเมืองเฟรดริกสตาด์และพระภิกษุผู้มาเยือนทั้งสี่รูปเดินทางต่อหลังฉันภัตตาหารไม่นาน
ธรรมบรรยาย
เอาใจเขามาใส่ใจเรา
พระอาจารย์คงฤทธิ์
การอยู่กับคน ไม่ว่าจะมากจะน้อย หากอุปนิสัยใจคอไม่ลงกัน การดำเนินชีวิตประจำวันร่วมกันก็มักจะมีเรื่องให้รู้สึกผิดหู ขัดตาได้ง่าย บางทีแค่เห็นก็ไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย
ในภาษาไทยจะมีคำสำนวนว่า “ธาตุไม่ลงกัน” ในภาษาพระท่านว่า “สัตว์ทั้งหลายย่อมคบหาสมาคมกันตามธาตุ” ซึ่งธาตุในที่นี้พอจะรวมได้ถึง อุปนิสัยใจคอ ความชอบ ความสนใจ ความรับผิดชอบ ความใส่ใจรายละเอียด และอื่นๆ
แต่ก็จะฟังว่าเป็นเรื่องแปลกโดยเฉพาะคนที่มีลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกันยิ่งกลับยิ่งจะทนกันไม่ได้ พอจะมีตัวอย่างเช่น คนชอบออกคำสั่ง ชอบบังคับ ชอบเสนอ ชอบสอน ชอบแนะนำ ชอบทำตัวเป็นพระเอก เสียงดังโหวกเหวกไม่ดูสถานการณ์ว่าควรไม่ควร คนเหล่านี้มักจะไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่ง บังคับ หรือ บอกสอน หรือเกินหน้าเกินตาตน เขาจะรู้สึกหงุดหงิด ที่ใครมาทำอะไรในลักษณะอย่างนั้น ดูเหมือนอีกคนจะไม่รู้กาละเทศะ ทั้งที่ตัวของเขาเองนั่นแหละที่แสดงออกในลักษณะนั้นจนเป็นนิสัย จนไม่รู้ตัว หรือลึกๆ ก็รู้ตัว ทั้งยังรู้สึกไม่ชอบสิ่งที่ตนทำ แต่เพราะเคยชิน อีกทั้งไม่มีใครเตือน หรืออยากเตือนแต่ไม่กล้า หรือไม่มีช่องทางให้เตือน หรือเปิดช่องให้ตักเตือนได้แต่ปิดทางออกเหมือนให้ตกหลุมพราง นี่ยิ่งไม่มีใครกล้าไปเตือน เพราะพิจารณาดูแล้วน่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีกับผู้ตักเตือน หากเผลอไปเตือนคำตอบมักจะออกมาในลักษณะห้วนๆ ว่า “ทำไมละ” หรือ “ผิดตรงไหนล่ะ” คนที่เผลอไปเตือนก็ไปต่อไม่เป็น
ธาตุโสวภิกฺขเว สตฺตา สํสนฺทนฺติ สเมนฺติ “สัตว์ทั้งหลายย่อมคบหาสมาคมกันตามธาตุ” อสมาหิตสูตร พระไตรปิฏก (ไทย) สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่มที่ 16 ข้อที่ 390 (สํ.นิ. 16/390)
อาจจะเพราะเหตุเหล่านี้ก็เลยทำให้เขาเห็นว่ากริยาที่เขาทำประจำเป็นเรื่องปกติ ยิ่งในกรณีที่รู้ตัวแต่มีความรู้สึกว่าตัวเขาเองเป็นกรณีพิเศษ นี่ยิ่งจะขัดเคืองหนักหากเจอคนในลักษณะเดียวกัน ผลกระทบหลักก็จะมาตกกับคนรอบๆ ข้างจนต้องจำยอมยกให้เป็น “คนพิเศษ” หรือ “กรณีพิเศษ” แล้วก็เลี่ยงการเข้าใกล้ การพบปะ การโต้ตอบ หรือร่วมกิจกรรม เพื่อเลี่ยงการกระทบกระทั่งอันไม่จำเป็น
คนส่วนใหญ่ก็ชอบความสงบ ความรู้สึกอบอุ่นเป็นมิตร อยากอยู่อาศัยในบรรยากาศนั้น แต่บรรยากาศเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองแต่อาศัยความร่วมแรงร่วมใจ ทำให้เกิด ให้มีขึ้น หากคนส่วนใหญ่พยายามทำหน้าที่เพื่อส่งเสริมบรรยากาศอันดี แต่เราเองจะทำเพียงสิ่งตนชอบจะทำ ลงทุนลงแรงร่วมให้น้อยที่สุด ไม่นานนักอาการธาตุไม่ลงกัน ก็แสดงผล เพราะเริ่มจากตัวของเราเอง ทำตัวให้ไม่เข้ากับใครๆ
การอยู่ร่วมกัน ให้ราบรื่นขึ้น มีการกระทบกระทั่งน้อยลง จริงๆ ก็ไม่ได้ยากอะไรนัก ยิ่งหากเราทราบแล้วว่า เราเองอยู่คนเดียวไม่ได้ ยังต้องการพึ่งพาอาศัยคนอื่นหรือสังคมที่อาศัยอยู่ เพียงใส่ใจรายละเอียดเพิ่มขึ้นสักหน่อย เช่นก่อนที่จะทำ จะพูดอะไร ก็เพียงแค่ฝึก “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” เป็นเรื่องง่ายๆ
เพียงคิดว่า:
“หากเขาทำกับเราแบบที่เรา อย่างที่เรากำลังจะทำกับเขา เราจะรู้สึกอย่างไร”
“หากเขาพูดกับเราอย่างที่เรากำลังจะพูดกับเขา เราจะรู้สึกอย่างไร”
การฝึกอย่างนี้ไม่จำเป็นรู้ หรืออ้างธรรมะชั้นสูง ว่ามาจากพระไตรปิฏกเล่มใหน พระสูตรไหน หนังสือเล่มโน้น เล่มนั้นเขียนว่าอย่างไร คำนี้ภาษาลีนี้หมายถึงอะไร รากศัพย์ มากจากไหน คนอื่นใช้ผิดอย่างไร ครูบาอาจารย์องค์โน้นกล่าวว่าอย่างไร การอ้างอิงเหล่านั้นจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อคนที่เราอยู่ร่วมกันมีความเข้าใจ สมัครสมานสามัคคี ไม่เช่นนั้นเราเองนั่นแหละอาจจะกลายเป็นคนดี คนมีธรรมะ ที่ใครๆ ไม่ต้องการอยากเข้าใกล้ ไม่มีใครต้องการอยู่ด้วย ได้รับตำแหน่ง “คนพิเศษ” ก็เป็นได้






















































